กว่าทศวรรษที่ผ่านมา หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยินเรื่องของ PISA โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล ที่นักเรียนอายุ 15 ปีจำเป็นต้องเข้ารับการประเมิน แต่คุณเคยสงสัยไหมว่ามาตรฐานนี้มาจากไหนกัน? หรือแม้กระทั่งปี 2023 บริษัทข้ามชาติทั่วโลกต่างตื่นตัวต่อมาตรฐานการเก็บภาษีรูปแบบใหม่ ที่อัตราการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำ หรือ Global Minimum Tax Rate ถูกกำหนดเอาไว้ที่ 15%
เราจะพาทุกท่านทำความรู้จักกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศอีกหนึ่งองค์การที่มีความสำคัญ คือ “OECD” องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ที่เป็นผู้ริเริ่ม PISA และ Global Minimum Tax Rate รวมถึงมาตรฐานสากลในด้านอื่น ๆ ที่เหล่านานาประเทศ รวมถึงประเทศไทยได้นำไปปรับใช้ เพื่อยกระดับการพัฒนาประเทศให้เทียบเท่าสากล
แล้วท่านทราบไหมว่า OECD แตกต่างจากองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ อย่างไร? หลาย ๆ องค์การ เช่น IMF หรือ World Bank เป็นองค์การที่ให้การสนับสนุนในเรื่องของเงินทุนเป็นหลัก ในขณะที่ OECD เป็นองค์การที่มุ่งเน้นการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีหรือกำหนดมาตรฐานให้เรานำมาปฏิบัติตาม อาจเรียกได้ว่าเป็น Think Tank ที่รวบรวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญและคลังข้อมูลความรู้หลายแขนงไว้ให้ประเทศต่าง ๆ มาขอรับคำปรึกษาหาความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาได้ แสดงถึงนัยของการสร้างความยั่งยืน ก็คงเปรียบเสมือนการสอนให้จับปลาด้วยตนเอง ไม่ได้หาปลามาให้เลย จะได้เรียนรู้วิธีการด้วยตนเอง ถือเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ OECD แตกต่างจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศอื่น ๆ

ทำความรู้จักกับ OECD
OECD (ย่อมาจาก Organisation for Economic Co-operation and Development) คือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา เป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์ แลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดี เพื่อส่งเสริมความเจริญทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง ความเท่าเทียม และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของนานาประเทศ ตามวิสัยทัศน์ “Better policies for Better Lives” โดยมีจุดเริ่มต้นมาจาก Marshall Plan ในปี 1948 OECD เดิมทีใช้ชื่อว่า OEEC (Organisation for European Economic Cooperation) หรือองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจแห่งภาคพื้นยุโรป ก่อตั้งขึ้นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรปหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาภายหลังในปี 1961 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น OECD
ปัจจุบัน OECD มีประเทศสมาชิกทั้งหมด 38 ประเทศ โดยประเทศที่เข้าเป็นสมาชิกล่าสุดคือคอสตาริกา OECD มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และสำนักภูมิภาคจำนวน 4 แห่ง ได้แก่ กรุงเบอร์ลิน (ประเทศเยอรมนี) กรุงเม็กซิโก (ประเทศเม็กซิโก) กรุงโตเกียว (ประเทศญี่ปุ่น) และกรุงวอชิงตัน
ดีซี (ประเทศสหรัฐอเมริกา) โดย OECD มีการบริหารจัดการองค์กร แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
1. OECD Council หรือคณะมนตรี OECD ประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศสมาชิก ผู้แทนจากสหภาพยุโรป และมีเลขาธิการ OECD เป็นประธาน โดยคณะมนตรีทำหน้าที่กำกับดูแลและกำหนดทิศทางขององค์กร โดยใช้กลไกการตัดสินใจแบบฉันทามติ
2. OECD Committee หรือคณะกรรมการ OECD ประกอบด้วยคณะกรรมการย่อยกว่า 300 คณะ ครอบคลุมทุกสาขา ทำหน้าที่หารือ สร้างสรรค์ และทบทวนแนวนโยบาย รวมถึงผลกระทบจากการนำนโยบายไปปฏิบัติ พร้อมทั้งเผยแพร่องค์ความรู้ ประสบการณ์เชิงนโยบาย ผ่านการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ คณะทำงาน และศูนย์อำนวยการ
3. OECD Secretariat หรือสำนักเลขาธิการ OECD ประกอบด้วยศูนย์อำนวยการ (Directorate) ที่มีผู้ปฏิบัติงานกว่า 3,300 คน ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลและนำเสนอผลการวิเคราะห์ พร้อมกับคำแนะนำเชิงนโยบายเพื่อประกอบการหารือของคณะกรรมการตามคำสั่งการของคณะมนตรี
4. กลุ่มผู้กำหนดและออกแบบนโยบาย ประกอบด้วยผู้แทนจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคแรงงาน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ มาทำงานร่วมกันเพื่อให้ข้อเสนอแนะและแลกเปลี่ยนเรื่องต่าง ๆ กับสำนักเลขาธิการ อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่สร้างการมีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีการขอความคิดเห็นจากหลากหลายภาคส่วนเพื่อนำไปใช้ในการกำหนดและออกแบบแนวนโยบายที่เอื้อประโยชน์และครอบคลุมอย่างทั่วถึง
ความร่วมมือไทย-OECD ที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปในปี 2000 ที่ประเทศไทยได้มีความร่วมมือกับ OECD ในโครงการที่มีชื่อว่า “PISA” (Programme for International Student Assessment) คือ โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษาของประเทศต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมให้เยาวชนมีศักยภาพหรือความสามารถพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเน้นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนเกี่ยวกับการใช้ความรู้และทักษะในชีวิตจริง แบ่งเป็นการประเมินความฉลาดรู้ด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งการประเมินนี้จะมีข้อสอบให้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักเรียนอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่จบการศึกษาภาคบังคับและพร้อมเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพแล้ว ทำข้อสอบดังกล่าว จากนั้นจะนำผลลัพธ์ที่ได้มาเป็นมาตรวัดคุณภาพการศึกษาของประเทศ ว่าเราควรปรับปรุงและพัฒนานโยบายและหลักสูตรการศึกษาไปในทิศทางใด ทั้งนี้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้เผยแพร่ตัวอย่างข้อสอบ PISA ลงบนเว็บไซต์ ให้ผู้ที่สนใจสามารถทดลองฝึกทำกันได้
นอกจากแนวปฏิบัติด้านการศึกษา ยังมีหลักการและข้อเสนอแนะของ OECD ด้านอื่น ๆ ที่ไทยนำมาปรับใช้ในการจัดทำนโยบายหรือเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง เช่น การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Business Conduct หรือ “RBC”) เนื่องจากการดำเนินธุรกิจแบบเดิมมักไม่มีการสอดส่องและติดตาม จึงประสบปัญหาเรื่องการติดสินบน การเอาเปรียบแรงงานและผู้บริโภค ไปจนถึงการปล่อยมลพิษทางสิ่งแวดล้อม OECD จึงกำหนดมาตรฐาน “แนวปฏิบัติในการตรวจสอบธุรกิจอย่างรอบด้านสำหรับการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ” ซึ่งจะช่วยให้บริษัทที่ปฏิบัติตามแนวปฏิบัตินี้สามารถคาดการณ์ ป้องกัน หรือลดผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น สนับสนุนให้บริษัทได้ร่วมสร้างประโยชน์แก่สังคม ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสีย อันจะเป็นการปกป้องชื่อเสียงของบริษัทได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่บริษัทและเสริมสร้างสมรรถนะในการจัดการความเสี่ยงในการดำเนินงาน เพื่อให้บริษัทตัดสินใจได้ว่าจะดำเนินธุรกิจต่อไปในทิศทางใด
อีกเรื่องหนึ่งคือ Global Minimum Tax เป็นหลักการที่ OECD พัฒนาขึ้นมาเพื่อรับมือกับช่องโหว่ทางภาษี และประเทศไทยก็กำลังเผชิญกับความท้าทายนี้เช่นกัน โดยเกิดจากธุรกิจข้ามชาติขายสินค้าและบริการในประเทศต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่สามารถประกอบธุรกิจออนไลน์ได้สะดวกมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบริษัทหรือตั้งสำนักงานในประเทศปลายทาง ทำให้ประเทศนั้น ๆ เสียโอกาสในการเก็บภาษีเงินได้จากธุรกิจต่างชาติที่มาสร้างรายได้จากการขายของในประเทศของตน โดยหลักการนี้เสนอให้มีการปฏิรูประบบภาษีระหว่างประเทศ โดยกำหนดให้บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราภาษีที่แท้จริง (Effective tax rate) ไม่น้อยกว่า 15% แบ่งเป็น 2 แนวทางหลัก ได้แก่
Pillar 1 การจัดสรรกำไรและสิทธิการจัดเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ให้เป็นธรรมมากขึ้น
Pillar 2 การจัดเก็บอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำ 15% จากบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เพื่อลดการแข่งขันทางภาษีระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างไทยกับ OECD
นอกจากการนำมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ดีในด้านต่าง ๆ ของ OECD มาปรับใช้แล้ว ไทยกับ OECD ยังมีความร่วมมือที่สำคัญผ่านโครงการ “OECD-Thailand Country Programme (CP)” ซึ่งเป็นโครงการที่ไทยดำเนินความร่วมมือกับ OECD ในหลากหลายสาขา โดยโครงการดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ระยะ
ระยะที่ 1 เริ่มตั้งแต่ปี 2018-2021 มีการดำเนินการร่วมกันในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การส่งเสริมธรรมาภิบาลภาครัฐ การส่งเสริมการแข่งขันของภาคธุรกิจ การเป็นประเทศไทย 4.0 และการเติบโตอย่างครอบคลุมและทั่วถึง
ระยะที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี 2023-2026 มุ่งเน้นการดำเนินการคล้ายระยะที่ 1 คือเรื่องธรรมาภิบาล และการแข่งขันของภาคธุรกิจ และมีเรื่องใหม่ที่เข้ามาทดแทน คือความครอบคลุมทางสังคมและการพัฒนาทุนมนุษย์ และการฟื้นฟูสีเขียว
ผลจากการดำเนินโครงการ Country Programme ทำให้ไทยได้รับประโยชน์หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการที่ไทยได้รับการสนับสนุนให้มีการรับรองตราสารทางกฎหมาย (Legal Instruments) ของ OECD เพื่อยกระดับมาตรฐานของไทยให้ทัดเทียมสากล โดยในอนาคตเราอาจจะได้ยินคำว่าตราสารทางกฎหมายบ่อยยิ่งขึ้น ซึ่งตราสารทางกฎหมายในที่นี้ คือกฎ ระเบียบ หรือแนวปฏิบัติที่ OECD กำหนดขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ตราสารที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Legally binding) และตราสารที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Non-legally binding) โดยแบบที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย คือกฎระเบียบที่ประเทศสมาชิกจำเป็นต้องดำเนินการเนื่องจากมีเรื่องสิทธิและข้อผูกพันจำเพาะเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนแบบที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย คือแนวปฏิบัติที่ไม่ได้บังคับว่าประเทศสมาชิกจะต้องดำเนินการ แต่ก็มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากประเทศสมาชิก OECD ก็ใช้ตราสารเหล่านี้เป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินการภายในประเทศ จนทำให้ OECD เป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีมาตรฐานระดับสากลในทุกวันนี้
นอกจากนี้ ไทยก็ได้รับการสนับสนุนให้มีการจัดทำรายงานการศึกษาและบทวิเคราะห์นโยบาย (Policy Reviews) ที่ครอบคลุมสาขาต่าง ๆ สนับสนุนการมีส่วนร่วมของหน่วยงานไทยใน OECD ในฐานะสมาชิกหรือผู้สังเกตการณ์ในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดี มีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนา การฝึกอบรมแก่หน่วยงานของไทย และการส่งเจ้าหน้าที่ของไทยไปปฏิบัติงาน (secondment) ณ สำนักงานใหญ่ OECD กรุงปารีส เพื่อเรียนรู้การทำงานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่แค่การเข้าเป็นสมาชิก แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า
ในปี 2022 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้จัดทำ “โครงการศึกษาและวิจัยความเหมาะสมในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของประเทศไทย” จากผลการศึกษาพบว่า หากไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD จะทำให้อัตรา GDP ของไทยสูงขึ้นประมาณ 1.6% เงินลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น 25.7% คิดเป็น 3.41% ของ GDP เงินทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 18.7% การส่งออกเพิ่มสูงขึ้น 4.93% คิดเป็น 1.56% ของ GDP ในขณะเดียวกัน ก็จะมีการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น 12.46% ซึ่งไทยเองก็ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันในตลาดที่เพิ่มขึ้นด้วย และด้วยข้อมูลเชิงสถิติเหล่านี้ ทำให้เราสามารถสรุปได้ว่า ไทยจะได้รับประโยชน์จากการเข้าเป็นสมาชิก OECD อย่างแน่นอน และนำมาสู่การตัดสินใจของไทยในการสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD

ปัจจุบัน ประเทศไทยอยู่ในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD (accession process) มีสถานะเป็นประเทศผู้สมัครที่อยู่ในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก (accession candidate country) และได้รับแผนการเข้าเป็นสมาชิก (Accession Roadmap) มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ตอนนี้ไทยจะยังไม่ได้เป็นสมาชิก OECD แต่การที่ไทยอยู่ในกระบวนการดำเนินงานตามแผนการเข้าเป็นสมาชิก จะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของไทยให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ดีของ OECD มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ ให้ทัดเทียมมาตรฐาน OECD เพื่อก้าวไปสู่การเป็นเข้าสมาชิก OECD โดยสมบูรณ์ในอนาคต
ท่านสามารถติดตามความก้าวหน้าในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของประเทศไทย ได้ที่เว็บไซต์ https://inter.nesdc.go.th/oecd/ หรือสแกนผ่าน QR Code
