ในโลกปัจจุบัน มาตรฐาน นโยบาย แนวปฏิบัติ และคลังข้อมูลความรู้ เป็นสิ่งสำคัญที่นานาประเทศต้องการเข้าถึง เพื่อพัฒนาศักยภาพของประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นและความร่วมมือต่าง ๆ ในเวทีโลก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD คือหนึ่งในองค์การระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดมาตรฐานระดับโลก ซึ่งไทยสนใจที่จะเข้าเป็นสมาชิก OECD ด้วยเช่นกัน โดยมีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการเข้าเป็นสมาชิก และเพื่อนำไปสู่เป้าหมายการเข้าเป็นสมาชิกโดยสมบูรณ์ ไทยจะต้องดำเนินการตามกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก (accession process) ซึ่งเป็นการดำเนินการที่เข้มข้นและต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ไทยดำเนินการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ทำไมถึงเป็น Mission to the Moon
ภารกิจการขับเคลื่อนการเข้าเป็นสมาชิก OECD ถือเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของไทยในการเข้าเป็นสมาชิกขององค์การระดับโลก เหมือนกับภารกิจไปเหยียบดวงจันทร์ของมนุษย์ ที่หลาย ๆ คนอาจคิดว่าเป็นไปได้ยาก เพราะการเข้าเป็นสมาชิก OECD ต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบหลากหลายประเด็น ประกอบกับต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน เป็นภารกิจที่ต้องใช้ความพยายามและระยะเวลาพอสมควร แต่ไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ได้อย่างแน่นอน
ที่ผ่านมา สภาพัฒน์ และกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ได้สร้างความตระหนักรู้เรื่องการเข้าเป็นสมาชิก OECD มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อ ทำข่าว จัดกิจกรรม การประชุม และจัดทำคลิปวิดีโอ โดยประเด็นสำคัญที่ต้องการเน้นย้ำคือ การเข้าเป็นสมาชิก OECD ไม่ได้เป็นเรื่องของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทั้งภาคเอกชน ภาคประชาชน ที่ต้องรับทราบและปรับตัว ปรับการดำเนินธุรกิจและการดำเนินชีวิต ให้ทุกอย่างในชีวิตเรามีมาตรฐานสากลมากขึ้น หากทุกภาคส่วนมีความตระหนักรู้และสามารถปรับตัวให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล เราก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นสมาชิก OECD ได้ เช่นเดียวกันกับการที่มนุษย์สามารถบรรลุเป้าหมายภารกิจการไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จ

ทำไมต้องเข้าเป็นสมาชิก OECD
OECD เป็นองค์การระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบและกำหนดนโยบาย ตลอดจนมาตรฐานต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การปรับปรุงเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความเท่าเทียมและยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ “Better Policies for Better lives” โดย OECD จะปรับเปลี่ยนมาตรฐานไปตามพลวัตและบริบทที่เปลี่ยนไปของโลก เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตด้วยเช่นกัน
ประเทศสมาชิก OECD ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศในทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชียแปซิฟิก เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ดังนั้น OECD จึงถือเป็นแหล่งรวมของผู้เชี่ยวชาญ (expert) และนักวิชาการในด้านต่าง ๆ เช่น การค้า การลงทุน ภาษี การศึกษา พลังงานสีเขียว สิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาล การต่อต้านการทุจริต หรือเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญในสถานการณ์โลกอย่างเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) นอกจากนี้ OECD ยังเป็นแหล่งข้อมูลทางวิชาการ และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศ และไทยก็ได้รับเอามาตรฐาน OECD มาปรับใช้ในหลากหลายสาขา เช่น โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียน (PISA) การดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ (RBC) การจัดการภาษีและการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม จนมาถึงการจัดทำโครงการ OECD-Thailand Country Programme ระยะที่ 1-2 ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการปฏิรูปประเทศของไทย
ปัจจุบัน ประเทศที่อยู่ระหว่างกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD หรือมีสถานะเป็น Accession Candidate Country มีทั้งหมด 8 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล บัลแกเรีย โครเอเชีย เปรู โรมาเนีย อินโดนีเซีย และไทย จากรายชื่อประเทศข้างต้นจะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ยกเว้นโครเอเชียและโรมาเนียที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว สอดคล้องกับนโยบายการขยายสมาชิกของ OECD ที่ไม่ได้เปิดรับเพียงแค่ประเทศพัฒนาแล้วเท่านั้น แต่ยังเปิดรับประเทศกำลังพัฒนาจากทุกภูมิภาคของโลกอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากคำแถลงของคณะมนตรี OECD ปี 2567 ที่เน้นย้ำว่า OECD พร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศกำลังพัฒนา และประเทศตลาดเกิดใหม่ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มบทบาทให้กับองค์การ สะท้อนให้เห็นว่า OECD เป็นองค์การที่พร้อมเปิดรับความหลากหลายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้กับโลกใหม่นั่นเอง
ประโยชน์จากการเข้าเป็นสมาชิก OECD มีอะไรบ้าง
1. ประโยชน์ต่อกลไกภาครัฐ
การเข้าเป็นสมาชิก OECD ไม่ใช่เพียงแค่การปรับมาตรฐานของประเทศเพื่อให้เข้าเป็นสมาชิก OECD ได้สำเร็จ และจบลงเพียงเท่านั้น แต่เมื่อได้เข้าเป็นสมาชิก OECD แล้ว ประเทศไทยโดยเฉพาะภาครัฐจำเป็นต้องรักษาระดับมาตรฐานของประเทศให้อยู่บนมาตรฐานเดียวกันกับ OECD อยู่เสมอ เนื่องจาก OECD มีกลไกที่เรียกว่า “Peer Review” ซึ่งเป็นการประเมินมาตรฐานของประเทศสมาชิกในเรื่องต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าประเทศสมาชิกยังคงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดร่วมกัน และหากมีมาตรฐานด้านใดที่ต่ำกว่าเกณฑ์ แม้ OECD จะไม่มีบทลงโทษ แต่จะใช้วิธีการกดดัน หรือ “Peer Pressure” ในการเปิดเผยอันดับสถิติการพัฒนาของเหล่าประเทศสมาชิกแทน
นอกจากนี้ OECD ยังมีรูปแบบการทำงานที่เด่นชัด คือการให้ข้อเสนอแนะ (recommendations) เพื่อแนะนำว่าประเทศสมาชิกควรปรับปรุงหรือพัฒนาประเด็นใด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐในการบริหารจัดการเชิงนโยบายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการนำคำแนะนำของ OECD มาปรับใช้ และเป็นการช่วยลดการใช้ทรัพยากร เช่น บุคลากร เวลา และงบประมาณ ในการคิดหาแนวทางการพัฒนานโยบาย เนื่องจากไทยสามารถเลือกใช้ข้อเสนแนะของ OECD ในเรื่องที่เห็นว่าเหมาะสมกับบริบทการพัฒนาของประเทศได้ หรือแม้แต่การนำองค์ความรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรมกับประเทศสมาชิก OECD มาประยุกต์ใช้ให้เกิดการพัฒนาตัวชี้วัด (KPI) ของภาครัฐในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาและยกระดับกลไกการทำงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การเข้าถึงแหล่งข้อมูลเชิงสถิติ เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อภาครัฐอย่างมาก เพราะในโลกยุคปัจจุบัน ประเทศที่มีข้อมูลหรือสามารถเข้าถึงข้อมูลได้หลากหลายย่อมได้เปรียบมากกว่า ซึ่ง OECD ก็เป็นองค์การที่มีการจัดเก็บและปรับปรุงข้อมูลเชิงสถิติหลายด้านอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งยังมีระบบการบริหารจัดการข้อมูลเชิงสถิติที่มีคุณภาพ ซึ่งไทยสามารถนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ ทำให้ทราบจุดแข็งและจุดอ่อน เพื่อนำไปวางแผนการพัฒนานโยบายในด้านต่าง ๆ เกิดเป็นโอกาสสำหรับประเทศต่อไป
2. ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย
การเข้าเป็นสมาชิก OECD จะทำให้ไทยมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล เกิดความเชื่อมั่น (Trust) เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นจากการที่สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้มากขึ้น และเมื่อมีการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น ไทยจะเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้น เช่น ตลาดจากประเทศสมาชิก OECD ที่ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกถึง 38 ประเทศ และ GDP รวมของ OECD ในปี 2021 นั้นสูงถึง 46% ของ GDP โลก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งการส่งเสริมการจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เป็นต้น
3. ประโยชน์ต่อไทยในเวทีระหว่างประเทศ
การเข้าเป็นสมาชิก OECD ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องการมีมาตรฐานระดับสากล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ไทยสามารถเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในกรอบความร่วมมืออื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น FTA Thai-EU ที่มีมาตรฐานสูงเนื่องจาก EU ก็เป็นสมาชิก OECD นอกจากนี้ ยังทำให้อำนาจในการต่อรองเวทีระหว่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้น เสียงของเราจะดังขึ้น ต่างชาติยอมรับเรามากขึ้น และที่สำคัญคือไทยจะมีบทบาทนำในการร่วมกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศ ทำให้ไทยมีสิทธิ์มีเสียงในเวทีโลกมากขึ้น
แล้ว SMEs ต้องปรับตัวอย่างไร
ผู้ประกอบการคนไทยอาจมีความกังวลว่า หากบริษัทต่างชาติมาลงทุนในไทยมากขึ้น แม้จะก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ก็อาจทำให้เกิดการแข่งขันทางการค้าเพิ่มสูงขึ้นด้วย แล้วผู้ประกอบการไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันได้หรือไม่ สภาพัฒน์ ตระหนักถึงความกังวลของผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ MSMEs ที่มีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 99 ของภาคธุรกิจไทย อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD ไทยสามารถเจรจาการจัดทำข้อสงวนได้ในประเด็นที่ไทยยังไม่พร้อมเปิดเสรี แต่ข้อสงวนนั้นจะต้องสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของประเทศสมาชิกอื่นด้วย หรือในอีกความหมายหนึ่งคือข้อสงวนที่ไทยจัดทำจะต้องไม่มากเกินจนเอาเปรียบประเทศสมาชิกอื่น
ที่ผ่านมา สภาพัฒน์ได้จัดการประชุมเพื่อสร้างความตระหนักรู้การเข้าเป็นสมาชิก OECD ให้กับภาคเอกชน โดยมีผู้แทนจากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย มาร่วมแบ่งปันมุมมองของภาคเอกชนต่อการเข้าเป็นสมาชิก OECD โดยแนะนำว่าภาครัฐควรมีมาตรการรองรับและเยียวยาผู้ประกอบการไทย และที่สำคัญพี่ใหญ่ทั้ง 3 สภา มีความยินดีที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการ MSMEs ในการปรับตัวเพื่อเข้าเป็นสมาชิก OECD เช่น หอการค้าไทยฯ ได้ดำเนินโครงการ Big Brother เพื่อให้เอกชนรายใหญ่ช่วยเหลือเอกชนรายย่อย มีตัวแทนหอการค้าจังหวัด ตัวแทนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (YEC) ที่พร้อมจะให้คำแนะนำแก่ MSMEs ไทยในการปรับตัว เป็นต้น การเข้ามามีส่วนร่วมของภาคเอกชนช่วยสร้างความมั่นใจว่าเอกชนรายใหญ่จะไม่ทิ้งรายย่อย ถือเป็นสัญญาณทีดีที่ภาคเอกชนตื่นตัว และพร้อมจะพาผู้ประกอบการไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD ไปด้วยกัน
เส้นทางสู่คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า มาตรฐานที่ดีขึ้น และอนาคตที่ยั่งยืน
กระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของประเทศไทยเริ่มอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 ที่รัฐบาลไทยได้ยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ไทยแสดงความสนใจสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD หลังจากนั้น วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2567 OECD ได้มีมติเห็นชอบเชิญไทยเข้าสู่กระบวนการการหารือเพื่อเข้าเป็นสมาชิก OECD (accession discussions) ต่อมาเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ในปีเดียวกัน OECD ก็ได้ออกแผนดำเนินการเพื่อเข้าเป็นสมาชิก (Accession Roadmap) ให้กับประเทศไทย โดยRoadmap นี้ ถือเป็นเอกสารสำคัญที่ระบุเงื่อนไข ขั้นตอน และรายละเอียดต่าง ๆ ในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทย และหลังจากนี้ถือว่าไทยเข้าสู่กระบวนการเข้าเป็นสมาชิก (accession process) อย่างเป็นทางการแล้ว โดยกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนสำคัญที่ทุกภาคส่วนจะเข้ามามีส่วนร่วมและขับเคลื่อนการดำเนินงานไปด้วยกัน ได้แก่
- 1. การประเมินตนเองในเบื้องต้น (Self-Assessment) โดยขั้นตอนนี้ประเทศไทยนำโดยภาครัฐ จะต้องประเมินความสอดคล้องของกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติภายในประเทศกับมาตรฐานของ OECD เพื่อให้ไทยและ OECD ทราบว่า ทั้งสองฝ่ายมีช่องว่างระหว่างกันมากน้อยเพียงใด ในส่วนของกฎหมายก็จะต้องประเมินว่าไทยมีกฎหมายหรือกฎระเบียบใดที่ยังไม่สอดคล้องกับตราสารทางกฎหมายของ OECD (OECD Legal Instruments) ส่วนที่เป็นนโยบายและแนวปฏิบัติจะประเมินว่านโยบายของไทยกับนโยบายและแนวปฏิบัติที่ดีของ OECD (OECD best policies and practices) หากการดำเนินการของไทยยังไม่สอดคล้องกับมาตรฐานของ OECD ไทยจะต้องจัดทำ Action Plan เพื่อระบุว่าไทยมีแผนที่จะปรับการดำเนินการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ OECD อย่างไร และเมื่อไทยประเมินตนเองในเบื้องต้นแล้วเสร็จก็จะต้องนำไปประกอบเป็นเอกสารที่เรียกว่า “Initial Memorandum” เพื่อยื่นให้กับ OECD ต่อไป
อนึ่ง Action Plan เป็นเพียงแผนการดำเนินการของไทยในการปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกับ ซึ่งคณะกรรมการ OECD (OECD Committee) ที่ประเมินการเข้าเป็นสมาชิกของไทย อาจนำไปใช้หรือไม่นำไปใช้ในการออกข้อเสนอแนะการปรับมาตรฐานให้กับไทยในขั้นตอนถัดไป
- 2. การประเมินทางเทคนิคร่วมกับคณะกรรมการ OECD หรือการทำ Technical Reviews โดยคณะกรรมการ OECD ที่ประเมินการเข้าเป็นสมาชิกของไทย ทั้ง 26 คณะ จะนำข้อมูลที่ไทยประเมินตนเองในเบื้องต้นมาใช้ในการวางแผนการประเมินทางเทคนิค และจะดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานไทยในการเก็บข้อมูลและประเมินทางเทคนิคเชิงลึก ผ่านเครื่องมือและวิธีการทำงานต่าง ๆ เช่น การจัดทำแบบสอบถาม (questionnaires) การสัมภาษณ์เชิงลึก (interviews) การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เป็นต้น และหากประเด็นใดที่การดำเนินการของไทยยังไม่สอดคล้องกับมาตรฐานของ OECD คณะกรรมการจะจัดทำข้อเสนอแนะ (recommendations) ให้กับไทยว่าจะต้องปรับปรุงมาตรฐานอย่างไร การประเมินทางเทคนิคนี้ไม่มีกำหนดกรอบระยะเวลา หากการดำเนินการของไทยยังไม่สอดคล้อง ก็ต้องปรับไปเรื่อย ๆ จนกว่าคณะกรรมการจะเห็นว่าสอดคล้องแล้ว และไทยมีความสามารถที่จะรักษามาตรฐานนั้น ๆ ไปได้ตลอด คณะกรรมการจึงจะให้ผ่านการประเมิน และจะสรุปเป็นข้อคิดเห็นทางการ (Formal Opinion) เพื่อเสนอให้กับคณะมนตรี OECD (OECD Council) พิจารณารับประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD โดยสมบูรณ์

สุดท้ายนี้ ภาครัฐอยากให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าเป็นสมาชิก OECD ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เกิดการปฏิรูปโครงสร้างของประเทศไทยอย่างจริงจัง ทำให้ไทยมีมาตรฐานและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน สภาพัฒน์จึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านเข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐ โดยให้ความร่วมมือในการปฏิรูปประเทศ ปรับปรุงกฎระเบียบ และปฏิบัติตามมาตรฐาน OECD ร่วมกัน เพื่อให้ไทยก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
“เพราะการเข้าเป็นสมาชิก OECD ไม่ใช่เพียงเรื่องการต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่ OECD เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกคน”